เกษียณช้าหรือเร็วดีกว่า? มาทำความเข้าใจกัน

การเกษียณอายุเป็นหนึ่งในเรื่องที่หลายคนต้องพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะการตัดสินใจว่าจะเกษียณเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับสภาพการเงิน แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความสุข และการใช้ชีวิตหลังจากการทำงานตลอดชีวิต ทั้งการเกษียณเร็วและการเกษียณช้ามีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชีวิตของแต่ละคน

ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของการเกษียณทั้งสองรูปแบบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าเกษียณแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

1. เกษียณเร็ว: การใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

การเกษียณเร็วหมายถึงการหยุดทำงานก่อนถึงวัยเกษียณตามปกติ (โดยทั่วไปคือ 60 ปี) ซึ่งในบางกรณีอาจจะเป็นการเกษียณในวัย 40 หรือ 50 ปี ข้อดีของการเกษียณเร็วคือ การได้มีเวลาเหลือมากขึ้นสำหรับการทำกิจกรรมที่อยากทำ เช่น การท่องเที่ยว, การพักผ่อน, หรือการพัฒนาตัวเองในด้านอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานประจำ

ข้อดีของการเกษียณเร็ว:
1. มีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่ชอบ
การเกษียณเร็วทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่คุณรัก เช่น การเดินทางท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะใหม่ๆ, หรือการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง
2. ลดความเครียดจากการทำงาน
หากการทำงานในปัจจุบันทำให้คุณรู้สึกเครียดหรือไม่มีความสุข การเกษียณเร็วจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงภาวะเครียดและมีเวลาทบทวนชีวิตใหม่
3. สุขภาพที่ดีขึ้น
การเกษียณเร็วอาจช่วยให้คุณมีเวลาในการดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย, การปรับปรุงนิสัยการกิน, หรือการใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่
4. โอกาสในการทำตามความฝัน
คุณสามารถใช้เวลาหลังจากการเกษียณเพื่อทำตามความฝันหรือสนุกกับชีวิตในแบบที่คุณต้องการ

ข้อเสียของการเกษียณเร็ว:
1. การเงินที่ไม่มั่นคง
หากการเกษียณเร็วไม่ถูกวางแผนอย่างรอบคอบ อาจทำให้ขาดแคลนเงินเก็บที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่ยังไม่มีแหล่งรายได้ที่มั่นคงในวัยเกษียณ แต่ที่คนส่วนใหญ่มักจะพลาดคือ การคำนวณแต่จำนวนเงินทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่ได้คำนึงถึงดอกผลที่จะเกิดแต่ละปี
ยกตัวอย่างเช่น บางคนจะคิดว่าจะเกษียณตอน 55 และจะใช้ชีวิตจนถึง 80 แสดงว่าจะต้องมีเงินสำหรับใช้อีก 25 ปี โดยถ้าสมมุติว่าจะใช้เงินสักเดือนละ 8,000 บาท ก็จะต้องมีเงินเก็บ 2,400,000 บาท แต่ต้องไม่ลืมว่าในแต่ละปีก็จะมีดอกผลขึ้นมาอีกสำหรับเงินที่เราฝากแช่ในธนาคาร
และควรศึกษาผลประโยชน์จากประกันสังคมกรณีเราเลิกทำงานแล้วตอน 55 ว่าจะได้บำนาญเดือนละกี่บาท นั่นแสดงว่าจริง ๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องเก็บเงินถึง 2.4 ล้านบาท
2. ขาดความหมายหรือเป้าหมายในชีวิต
หากไม่มีการเตรียมตัวหรือเป้าหมายหลังเกษียณ อาจทำให้รู้สึกขาดความหมายในชีวิตหรือไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป
3. ความเหงา
หากไม่มีการวางแผนให้มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีหรือไม่มีกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่า การเกษียณเร็วอาจทำให้เกิดความเหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยว

2. เกษียณช้า: การเตรียมตัวเพื่อชีวิตที่มั่นคง

การเกษียณช้าหมายถึงการทำงานต่อไปจนถึงอายุเกษียณตามปกติ (60-65 ปี) หรือบางคนอาจทำงานต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี การเกษียณช้ามักจะให้ความมั่นคงทางการเงินมากกว่า เพราะยังมีรายได้จากการทำงานประจำและยังสามารถสะสมเงินเพื่อการเกษียณในอนาคตได้มากขึ้น

ข้อดีของการเกษียณช้า:
1. มีรายได้มั่นคง
การทำงานจนถึงอายุเกษียณจะทำให้คุณมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้การเกษียณมีความมั่นคงทางการเงินและลดความกังวลเรื่องการขาดแคลนเงินในวัยเกษียณ
2. สะสมเงินเก็บและสวัสดิการ
คุณสามารถเพิ่มเงินออมในกองทุนบำนาญหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้มากขึ้นในช่วงที่ยังทำงาน ซึ่งจะช่วยให้มีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
3. ไม่ต้องกังวลเรื่องความเหงา
การทำงานหมายความว่าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและผู้คนรอบข้าง ช่วยให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงาในช่วงชีวิต
4. รักษาความกระตือรือร้นในชีวิต
การทำงานไปจนถึงวัยเกษียณจะช่วยให้คุณมีเป้าหมายในชีวิตและมีสิ่งกระตุ้นให้ตื่นขึ้นทุกวัน การมีงานทำจะช่วยให้รู้สึกมีคุณค่าและมีบทบาทในสังคม

ข้อเสียของการเกษียณช้า:
1. สุขภาพที่อาจเสื่อมลง
การทำงานหนักในวัยที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะหากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือโรคเรื้อรังจากการทำงานมานาน
2. การขาดเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัว
การทำงานไปจนถึงอายุเกษียณอาจทำให้คุณไม่มีเวลาเพียงพอในการทำกิจกรรมที่ต้องการ เช่น การท่องเที่ยว หรือการพักผ่อนร่วมกับครอบครัว
3. ความเครียดจากการทำงาน
การทำงานต่อเนื่องในวัยเกษียณอาจทำให้เกิดความเครียดหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเวลาพักผ่อน

3. สรุป: เลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง

ทั้งการเกษียณเร็วและเกษียณช้ามีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการวางแผนและเตรียมตัวอย่างรอบคอบไม่ว่าจะเลือกเกษียณเร็วหรือช้า การคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การเงิน สุขภาพ ความสุข และการใช้ชีวิตหลังเกษียณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าเกษียณแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

*หากคุณเลือกเกษียณเร็ว:** อย่าลืมเตรียมการเงินให้มั่นคงแต่เนิ่น ๆ และวางแผนชีวิตให้มีความหมาย เพื่อให้การเกษียณเร็วเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและการทำสิ่งที่คุณรัก

**หากคุณเลือกเกษียณช้า:** อย่าลืมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และพิจารณาว่าคุณสามารถหาความสมดุลในชีวิตระหว่างการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างไร เพื่อให้ชีวิตในช่วงเกษียณมีความสุขและสมดุลที่สุด

การเกษียณแบบพอเพียง: ใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีความสุขในวัยเกษียณ

การเกษียณไม่จำเป็นต้องเป็นการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา หรือการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตให้มีความสุขและสมดุล โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งรายได้ที่มากมาย การเกษียณแบบพอเพียง คือการวางแผนชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีความสุข แต่ไม่สร้างภาระให้กับตัวเองและครอบครัวเกินไป โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการใช้ชีวิต

1. วางแผนการเงินแบบพอเพียง
การเกษียณแบบพอเพียงเริ่มต้นจากการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ การออมและการลงทุนในช่วงที่ยังทำงาน จะช่วยให้เรามีเงินเก็บที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ แต่ไม่ต้องการใช้เงินจำนวนมากหรือคาดหวังรายได้ที่สูงเกินไป การเกษียณแบบพอเพียงเน้นการใช้เงินอย่างมีสติและไม่ฟุ่มเฟือย อาจจะเริ่มต้นด้วยการประเมินค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าที่พัก, ค่ากินอยู่, และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ แล้วคำนวณหาวิธีที่จะให้เงินที่เก็บมาเพียงพอในช่วงเวลาเหล่านั้น

2. ชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาฟุ่มเฟือย
การใช้ชีวิตอย่างพอเพียงหมายถึงการหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การใช้จ่ายในเรื่องของของฟุ่มเฟือยหรือการสะสมทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เราควรมองหาวิธีการใช้ชีวิตที่ทำให้เรามีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งของหรือเงินจำนวนมาก อาจจะเริ่มจากการลดการซื้อของที่ไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้าหรือของใช้ที่ไม่ได้ใช้บ่อย นอกจากนี้ยังสามารถหากิจกรรมที่ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องใช้เงินมาก เช่น การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหรือการใช้เวลาว่างในการทำงานอดิเรกที่ชอบ

3. การเกษตรและการทำสวน
การมีสวนผักหรือปลูกพืชผักสวนครัวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อของและยังทำให้เรามีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การปลูกผักสวนครัว เช่น ผักบุ้ง, คะน้า, มะเขือ, หรือพืชอื่น ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถช่วยให้เรามีอาหารสดใหม่และประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีความสุขและได้ออกกำลังกายไปในตัว

4. เน้นการมีสุขภาพดี
การเกษียณแบบพอเพียงไม่ได้หมายถึงการพึ่งพาแค่เงินหรือทรัพย์สิน แต่ยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในวัยเกษียณ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่ดีและสมดุล การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคเรื้อรัง หรือโรคที่ต้องรักษาตลอดชีวิต

คุณควรตรวจสอบประกันสุขภาพและการดูแลสุขภาพในระยะยาว เช่น ประกันสังคม ประกันบัตรทอง หรือประกันชีวิต ที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและการรักษาในกรณีที่คุณต้องการการดูแลพิเศษในวัยเกษียณ

5. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
การเกษียณแบบพอเพียงมักจะเน้นการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การอยู่ในที่พักที่เรียบง่าย ไม่หรูหรา แต่สะดวกสบายและเหมาะสมกับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ การเลือกที่พักที่ไม่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น บ้านไม้ที่มีการออกแบบที่เหมาะสมกับภูมิประเทศและสภาพอากาศ จะช่วยให้เราลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตและยังทำให้เรามีชีวิตที่สงบสุข

6. การพึ่งพาตนเองและการให้
การเกษียณแบบพอเพียงยังหมายถึงการพึ่งพาตนเองในหลาย ๆ ด้าน เช่น การซ่อมแซมสิ่งของในบ้านเอง แทนที่จะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เช่น การทำงานอาสาสมัครหรือช่วยเหลือชุมชนในกิจกรรมต่าง ๆ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนจะช่วยให้เราได้รับความสุขจากการได้ทำสิ่งดี ๆ และยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม

7. คิดบวกและอยู่กับปัจจุบัน
การเกษียณแบบพอเพียงไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตด้วยเงินหรือทรัพย์สินที่มี แต่เป็นการใช้ชีวิตด้วยการมองโลกในแง่ดี และอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต การคิดบวกจะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสและวิธีการใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ

สรุป
การเกษียณแบบพอเพียงเป็นการใช้ชีวิตในวัยเกษียณที่เน้นความสมดุล ความพอเพียง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ การดูแลสุขภาพ และการใช้ชีวิตในแบบเรียบง่ายแต่มีความสุขจะช่วยให้เรามีชีวิตที่มีคุณค่าและไม่ต้องพึ่งพาทรัพย์สินมากเกินไป ในที่สุด การเกษียณแบบพอเพียงทำให้เราสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและสงบเสงี่ยมได้อย่างยั่งยืน

สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม มาตรา 33 vs มาตรา 39 “ ประกันสังคม” ในประเทศไทยมีระบบที่แบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยหลัก ๆ จะมี “มาตรา 33” และ “มา...

น่าสนใจ