สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม มาตรา 33 vs มาตรา 39

ประกันสังคม” ในประเทศไทยมีระบบที่แบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยหลัก ๆ จะมี “มาตรา 33” และ “มาตรา 39” ที่มีความแตกต่างกันในแง่ของสิทธิประโยชน์และกลุ่มผู้ประกันตน มาดูกันว่า “มาตรา 33” และ “มาตรา 39” มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง และมีความแตกต่างกันอย่างไร


1. “มาตรา 33”: สำหรับผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน

มาตรา 33” เป็นการสมัครเข้าร่วมประกันสังคมสำหรับ ผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน โดยการสมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคมทั้งจาก นายจ้าง และ ลูกจ้าง ซึ่งถือเป็นการช่วยสนับสนุนให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการความคุ้มครอง


สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรา 33

1. เงินทดแทนรายได้ (กรณีเจ็บป่วย, คลอดบุตร, อุบัติเหตุ)

- หากเกิดการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ผู้ประกันตนสามารถได้รับ “เงินทดแทนรายได้” ระหว่างการลาพักรักษาตัว

- การลาคลอด: ผู้ประกันตนในมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนรายได้ระหว่างการลาคลอดบุตร

- กรณีทุพพลภาพ: หากเกิดทุพพลภาพจะได้รับเงินทดแทนหรือเงินช่วยเหลือในกรณีที่ไม่สามารถทำงานได้


2. เงินบำนาญชราภาพ (กรณีเกษียณ)

- เมื่อผู้ประกันตนมีอายุครบ 55 ปีและมีการสมทบเงินตามเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับ “เงินบำนาญชราภาพ” ที่ช่วยรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งคำนวณจากอายุงาน และจำนวนเงินสมทบ

- การจ่ายเงินบำนาญ จะช่วยให้ผู้เกษียณมีรายได้ประจำในการดำรงชีวิตหลังจากออกจากงาน


3. เงินสงเคราะห์การตาย

- หากผู้ประกันตนเสียชีวิต ครอบครัวหรือทายาทจะได้รับ “เงินสงเคราะห์” จากกองทุนประกันสังคมเพื่อช่วยเหลือในกรณีที่เกิดการสูญเสีย


4. สิทธิในการรักษาพยาบาล

- ผู้ประกันตนในมาตรา 33 จะได้รับ “สิทธิในการรักษาพยาบาล” ที่โรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลที่มีการตกลงกับประกันสังคม โดยสามารถรักษาพยาบาลได้ในราคาต่ำกว่าค่ารักษาปกติ


5. กรณีประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน

- หากเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน ผู้ประกันตนในมาตรา 33 จะได้รับสิทธิในการได้รับ ค่ารักษาพยาบาล หรือ เงินทดแทนรายได้ ในกรณีที่ไม่สามารถทำงานได้


2. มาตรา 39: สำหรับผู้ที่เคยทำงานในภาครัฐ/เอกชนแล้วออกจากงาน

มาตรา 39” เป็นการสมัครเข้าร่วมประกันสังคมสำหรับ ผู้ที่เคยทำงานในมาตรา 33 และต้องการคงสิทธิประโยชน์ไว้ต่อไปหลังจากออกจากงาน (เช่น เกษียณ, ลาออก หรือไม่ทำงานแล้ว) โดยผู้ที่เข้าร่วมมาตรา 39 จะต้องสมัครและจ่ายเงินสมทบเองโดยไม่ต้องพึ่งนายจ้าง


สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรา 39

1. เงินทดแทนรายได้ (กรณีเจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, อุบัติเหตุ)

- แม้จะไม่ทำงานแล้ว แต่ผู้ประกันตนในมาตรา 39 ยังคงสามารถได้รับ “เงินทดแทนรายได้” ในกรณีเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ รวมถึงกรณีทุพพลภาพ


2. เงินบำนาญชราภาพ (กรณีเกษียณ)

- เมื่ออายุครบ 55 ปี ผู้ที่อยู่ในมาตรา 39 และมีการสมทบเงินตามระยะเวลาที่กำหนด ก็สามารถรับ “เงินบำนาญชราภาพ” ได้เหมือนผู้ที่อยู่ในมาตรา 33 หากมีการสมทบเงินตามจำนวนที่กำหนด


3. เงินสงเคราะห์การตาย

- ผู้ประกันตนในมาตรา 39 หากเสียชีวิต ครอบครัวหรือทายาทก็สามารถรับ “เงินสงเคราะห์” ได้เช่นเดียวกับผู้ประกันตนในมาตรา 33


4. สิทธิการรักษาพยาบาล

- ผู้ประกันตนในมาตรา 39 ยังคงได้รับ “สิทธิในการรักษาพยาบาล” ที่โรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลที่ตกลงกับประกันสังคม แม้จะไม่ได้ทำงานแล้ว แต่ยังคงมีสิทธิในการรับการรักษา



สรุป

มาตรา 33 และ มาตรา 39 ของประกันสังคมมีสิทธิประโยชน์คล้ายกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น การได้รับ “เงินบำนาญชราภาพ” และ “เงินสงเคราะห์การตาย” รวมถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องของ วิธีการสมทบเงิน และ กลุ่มผู้ประกันตน ที่สามารถเข้าร่วมได้

- มาตรา 33 เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในภาคเอกชนที่มีนายจ้าง

- มาตรา 39 เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำงานในมาตรา 33 แล้วออกจากงาน และต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ต่อไป


หากคุณเป็นพนักงานในภาคเอกชนและกำลังวางแผนการเกษียณหรือออกจากงาน การเข้าใจความแตกต่างระหว่างมาตรา 33 และ 39 จะช่วยให้คุณเลือกใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ





การเกษียณโดยใช้ผลประโยชน์จากภาครัฐ: แนวทางเพื่อการเกษียณที่มั่นคง

การเกษียณอายุถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตที่ต้องมีการเตรียมตัวทั้งด้านการเงินและสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่พึ่งพาผลประโยชน์จากภาครัฐในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ภาครัฐมีโครงการและระบบสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เกษียณมีความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการเข้าใจและใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์เหล่านี้อย่างเต็มที่จะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ดียิ่งขึ้นสำหรับชีวิตหลังเกษียณ


ในบทความนี้ เราจะพูดถึง “ผลประโยชน์จากภาครัฐ” ที่คุณสามารถใช้ได้เมื่อเกษียณ รวมถึงวิธีการวางแผนให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากสิทธิที่มี

1. กองทุนประกันสังคม (Social Security)


หนึ่งในประโยชน์หลักที่ผู้ประกันตนในประเทศไทยสามารถใช้ได้เมื่อเกษียณคือ “ประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม” ซึ่งเป็นกองทุนที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองด้านการเงินและสุขภาพในกรณีต่างๆ รวมถึงเมื่อคุณเกษียณ

ประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนประกันสังคมเมื่อเกษียณ
- เงินบำนาญชราภาพ: เมื่อคุณอายุครบ 55 ปี และมีการชำระเงินสมทบตามกำหนดของกองทุนประกันสังคม จะมีสิทธิ์ได้รับ “เงินบำนาญชราภาพ” ซึ่งคำนวณจากเงินสมทบที่คุณได้จ่ายเข้าไปในช่วงที่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีการคำนวณตามระยะเวลาและฐานเงินเดือนที่เคยได้รับ
- เงินทดแทนรายได้: หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุก่อนถึงวัยเกษียณ คุณสามารถใช้ประโยชน์จากการได้รับเงินทดแทนจากกองทุนนี้

การเตรียมตัว:
- ตรวจสอบการสมัครเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมและตรวจสอบยอดเงินสมทบทุกปี
- วางแผนการเงินให้สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์จากกองทุน เช่น การเพิ่มเงินสมทบเพื่อให้เงินบำนาญหลังเกษียณมีมูลค่าที่สูงขึ้น
- ศึกษาข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคมเพื่อเข้าใจขั้นตอนและเงื่อนไขการรับเงินบำนาญ

2. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)

สำหรับพนักงานในภาครัฐหรือองค์กรต่าง ๆ ที่มีการจัดตั้ง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” (Provident Fund) จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ กองทุนนี้เป็นการสะสมเงินที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างร่วมกันสมทบ เพื่อให้พนักงานมีเงินออมสำหรับการเกษียณ

ประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- การสมทบจากนายจ้าง: นายจ้างจะสมทบเงินเข้าในกองทุนให้กับคุณตามอัตราที่กำหนด ซึ่งทำให้เงินออมของคุณเติบโตเร็วขึ้น
- การลงทุนในกองทุนต่างๆ: กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น
- การถอนเงินหลังเกษียณ: เมื่อเกษียณ คุณสามารถถอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งเงินที่ใช้ในการดำรงชีวิต

การเตรียมตัว:
- ตรวจสอบรายละเอียดของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่คุณเข้าร่วม เช่น อัตราการสมทบและผลตอบแทนจากการลงทุน
- หากยังไม่ได้เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คุณสามารถสอบถามกับนายจ้างหรือองค์กรที่ทำงานว่ามีโครงการดังกล่าวหรือไม่
- หากคุณเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ คุณอาจพิจารณาเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เปิดให้กับบุคคลทั่วไป

3. ประกันสุขภาพของภาครัฐ

สุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตหลังเกษียณ รัฐบาลไทยมีระบบ “ประกันสุขภาพภาครัฐ” ที่คุ้มครองการรักษาพยาบาลสำหรับประชาชนทุกคน รวมถึงผู้ที่เกษียณแล้ว

ประโยชน์จากประกันสุขภาพภาครัฐ
- การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ: ผู้ที่มีสิทธิในประกันสุขภาพจะได้รับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลของรัฐโดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษา หรือจ่ายในราคาที่ต่ำ
- การตรวจสุขภาพประจำปี: ระบบประกันสุขภาพภาครัฐมักจะมีบริการตรวจสุขภาพประจำปีให้กับผู้สูงอายุ

การเตรียมตัว:
- ตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพที่คุณมี (เช่น สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิประกันสุขภาพประชาชน)
- วางแผนการรักษาสุขภาพโดยการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

4. เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ (ผู้มีรายได้น้อย)

รัฐบาลไทยได้จัดตั้งโครงการ “เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ” เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยและขาดแคลนทางการเงิน โครงการนี้จะให้เงินอุดหนุนประจำเดือนแก่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด

ประโยชน์ที่ได้รับ
- **เงินสงเคราะห์รายเดือน**: ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ต่ำกว่าขีดจำกัดที่กำหนด สามารถขอรับเงินสงเคราะห์จากรัฐได้
- การสนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพ: นอกจากเงินสงเคราะห์แล้ว ยังมีโครงการสนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่เข้าเกณฑ์

การเตรียมตัว:
- ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองในการขอรับเงินสงเคราะห์จากภาครัฐ
- เตรียมเอกสารที่จำเป็นในการขอรับสิทธิ เช่น บัตรประชาชน, บัญชีธนาคาร, เอกสารรายได้

5. โครงการภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ

ภาครัฐยังมีโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุ เช่น การให้บริการ “บ้านพักคนชรา” การจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและความบันเทิงสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงการฝึกอาชีพเพื่อเสริมสร้างรายได้หลังเกษียณ

สรุป

การใช้ประโยชน์จาก “ผลประโยชน์ภาครัฐ” เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การเกษียณของคุณมีความมั่นคงและสะดวกสบายมากขึ้น โดยการทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์ที่คุณสามารถเข้าถึงได้ เช่น เงินบำนาญจากประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันสุขภาพภาครัฐ และเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ จะช่วยให้คุณวางแผนการเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับชีวิตหลังเกษียณ

อย่าลืมว่า การเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตหลังเกษียณของคุณมีคุณภาพและไม่ต้องพึ่งพาแค่การทำงานเพื่อดำรงชีวิต

เกษียณช้าหรือเร็วดีกว่า? มาทำความเข้าใจกัน

การเกษียณอายุเป็นหนึ่งในเรื่องที่หลายคนต้องพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะการตัดสินใจว่าจะเกษียณเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับสภาพการเงิน แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความสุข และการใช้ชีวิตหลังจากการทำงานตลอดชีวิต ทั้งการเกษียณเร็วและการเกษียณช้ามีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชีวิตของแต่ละคน

ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของการเกษียณทั้งสองรูปแบบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าเกษียณแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

1. เกษียณเร็ว: การใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

การเกษียณเร็วหมายถึงการหยุดทำงานก่อนถึงวัยเกษียณตามปกติ (โดยทั่วไปคือ 60 ปี) ซึ่งในบางกรณีอาจจะเป็นการเกษียณในวัย 40 หรือ 50 ปี ข้อดีของการเกษียณเร็วคือ การได้มีเวลาเหลือมากขึ้นสำหรับการทำกิจกรรมที่อยากทำ เช่น การท่องเที่ยว, การพักผ่อน, หรือการพัฒนาตัวเองในด้านอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานประจำ

ข้อดีของการเกษียณเร็ว:
1. มีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่ชอบ
การเกษียณเร็วทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่คุณรัก เช่น การเดินทางท่องเที่ยว, การพัฒนาทักษะใหม่ๆ, หรือการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง
2. ลดความเครียดจากการทำงาน
หากการทำงานในปัจจุบันทำให้คุณรู้สึกเครียดหรือไม่มีความสุข การเกษียณเร็วจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงภาวะเครียดและมีเวลาทบทวนชีวิตใหม่
3. สุขภาพที่ดีขึ้น
การเกษียณเร็วอาจช่วยให้คุณมีเวลาในการดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย, การปรับปรุงนิสัยการกิน, หรือการใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่
4. โอกาสในการทำตามความฝัน
คุณสามารถใช้เวลาหลังจากการเกษียณเพื่อทำตามความฝันหรือสนุกกับชีวิตในแบบที่คุณต้องการ

ข้อเสียของการเกษียณเร็ว:
1. การเงินที่ไม่มั่นคง
หากการเกษียณเร็วไม่ถูกวางแผนอย่างรอบคอบ อาจทำให้ขาดแคลนเงินเก็บที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่ยังไม่มีแหล่งรายได้ที่มั่นคงในวัยเกษียณ แต่ที่คนส่วนใหญ่มักจะพลาดคือ การคำนวณแต่จำนวนเงินทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่ได้คำนึงถึงดอกผลที่จะเกิดแต่ละปี
ยกตัวอย่างเช่น บางคนจะคิดว่าจะเกษียณตอน 55 และจะใช้ชีวิตจนถึง 80 แสดงว่าจะต้องมีเงินสำหรับใช้อีก 25 ปี โดยถ้าสมมุติว่าจะใช้เงินสักเดือนละ 8,000 บาท ก็จะต้องมีเงินเก็บ 2,400,000 บาท แต่ต้องไม่ลืมว่าในแต่ละปีก็จะมีดอกผลขึ้นมาอีกสำหรับเงินที่เราฝากแช่ในธนาคาร
และควรศึกษาผลประโยชน์จากประกันสังคมกรณีเราเลิกทำงานแล้วตอน 55 ว่าจะได้บำนาญเดือนละกี่บาท นั่นแสดงว่าจริง ๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องเก็บเงินถึง 2.4 ล้านบาท
2. ขาดความหมายหรือเป้าหมายในชีวิต
หากไม่มีการเตรียมตัวหรือเป้าหมายหลังเกษียณ อาจทำให้รู้สึกขาดความหมายในชีวิตหรือไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป
3. ความเหงา
หากไม่มีการวางแผนให้มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีหรือไม่มีกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่า การเกษียณเร็วอาจทำให้เกิดความเหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยว

2. เกษียณช้า: การเตรียมตัวเพื่อชีวิตที่มั่นคง

การเกษียณช้าหมายถึงการทำงานต่อไปจนถึงอายุเกษียณตามปกติ (60-65 ปี) หรือบางคนอาจทำงานต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี การเกษียณช้ามักจะให้ความมั่นคงทางการเงินมากกว่า เพราะยังมีรายได้จากการทำงานประจำและยังสามารถสะสมเงินเพื่อการเกษียณในอนาคตได้มากขึ้น

ข้อดีของการเกษียณช้า:
1. มีรายได้มั่นคง
การทำงานจนถึงอายุเกษียณจะทำให้คุณมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้การเกษียณมีความมั่นคงทางการเงินและลดความกังวลเรื่องการขาดแคลนเงินในวัยเกษียณ
2. สะสมเงินเก็บและสวัสดิการ
คุณสามารถเพิ่มเงินออมในกองทุนบำนาญหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้มากขึ้นในช่วงที่ยังทำงาน ซึ่งจะช่วยให้มีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
3. ไม่ต้องกังวลเรื่องความเหงา
การทำงานหมายความว่าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและผู้คนรอบข้าง ช่วยให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือเหงาในช่วงชีวิต
4. รักษาความกระตือรือร้นในชีวิต
การทำงานไปจนถึงวัยเกษียณจะช่วยให้คุณมีเป้าหมายในชีวิตและมีสิ่งกระตุ้นให้ตื่นขึ้นทุกวัน การมีงานทำจะช่วยให้รู้สึกมีคุณค่าและมีบทบาทในสังคม

ข้อเสียของการเกษียณช้า:
1. สุขภาพที่อาจเสื่อมลง
การทำงานหนักในวัยที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะหากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือโรคเรื้อรังจากการทำงานมานาน
2. การขาดเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัว
การทำงานไปจนถึงอายุเกษียณอาจทำให้คุณไม่มีเวลาเพียงพอในการทำกิจกรรมที่ต้องการ เช่น การท่องเที่ยว หรือการพักผ่อนร่วมกับครอบครัว
3. ความเครียดจากการทำงาน
การทำงานต่อเนื่องในวัยเกษียณอาจทำให้เกิดความเครียดหรือรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเวลาพักผ่อน

3. สรุป: เลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง

ทั้งการเกษียณเร็วและเกษียณช้ามีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการวางแผนและเตรียมตัวอย่างรอบคอบไม่ว่าจะเลือกเกษียณเร็วหรือช้า การคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การเงิน สุขภาพ ความสุข และการใช้ชีวิตหลังเกษียณจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าเกษียณแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

*หากคุณเลือกเกษียณเร็ว:** อย่าลืมเตรียมการเงินให้มั่นคงแต่เนิ่น ๆ และวางแผนชีวิตให้มีความหมาย เพื่อให้การเกษียณเร็วเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและการทำสิ่งที่คุณรัก

**หากคุณเลือกเกษียณช้า:** อย่าลืมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และพิจารณาว่าคุณสามารถหาความสมดุลในชีวิตระหว่างการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างไร เพื่อให้ชีวิตในช่วงเกษียณมีความสุขและสมดุลที่สุด

การเกษียณแบบพอเพียง: ใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีความสุขในวัยเกษียณ

การเกษียณไม่จำเป็นต้องเป็นการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา หรือการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตให้มีความสุขและสมดุล โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งรายได้ที่มากมาย การเกษียณแบบพอเพียง คือการวางแผนชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีความสุข แต่ไม่สร้างภาระให้กับตัวเองและครอบครัวเกินไป โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการใช้ชีวิต

1. วางแผนการเงินแบบพอเพียง
การเกษียณแบบพอเพียงเริ่มต้นจากการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ การออมและการลงทุนในช่วงที่ยังทำงาน จะช่วยให้เรามีเงินเก็บที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ แต่ไม่ต้องการใช้เงินจำนวนมากหรือคาดหวังรายได้ที่สูงเกินไป การเกษียณแบบพอเพียงเน้นการใช้เงินอย่างมีสติและไม่ฟุ่มเฟือย อาจจะเริ่มต้นด้วยการประเมินค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าที่พัก, ค่ากินอยู่, และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ แล้วคำนวณหาวิธีที่จะให้เงินที่เก็บมาเพียงพอในช่วงเวลาเหล่านั้น

2. ชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาฟุ่มเฟือย
การใช้ชีวิตอย่างพอเพียงหมายถึงการหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การใช้จ่ายในเรื่องของของฟุ่มเฟือยหรือการสะสมทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เราควรมองหาวิธีการใช้ชีวิตที่ทำให้เรามีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งของหรือเงินจำนวนมาก อาจจะเริ่มจากการลดการซื้อของที่ไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้าหรือของใช้ที่ไม่ได้ใช้บ่อย นอกจากนี้ยังสามารถหากิจกรรมที่ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องใช้เงินมาก เช่น การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหรือการใช้เวลาว่างในการทำงานอดิเรกที่ชอบ

3. การเกษตรและการทำสวน
การมีสวนผักหรือปลูกพืชผักสวนครัวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อของและยังทำให้เรามีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การปลูกผักสวนครัว เช่น ผักบุ้ง, คะน้า, มะเขือ, หรือพืชอื่น ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถช่วยให้เรามีอาหารสดใหม่และประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เรามีความสุขและได้ออกกำลังกายไปในตัว

4. เน้นการมีสุขภาพดี
การเกษียณแบบพอเพียงไม่ได้หมายถึงการพึ่งพาแค่เงินหรือทรัพย์สิน แต่ยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในวัยเกษียณ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่ดีและสมดุล การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคเรื้อรัง หรือโรคที่ต้องรักษาตลอดชีวิต

คุณควรตรวจสอบประกันสุขภาพและการดูแลสุขภาพในระยะยาว เช่น ประกันสังคม ประกันบัตรทอง หรือประกันชีวิต ที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและการรักษาในกรณีที่คุณต้องการการดูแลพิเศษในวัยเกษียณ

5. การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
การเกษียณแบบพอเพียงมักจะเน้นการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การอยู่ในที่พักที่เรียบง่าย ไม่หรูหรา แต่สะดวกสบายและเหมาะสมกับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ การเลือกที่พักที่ไม่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น บ้านไม้ที่มีการออกแบบที่เหมาะสมกับภูมิประเทศและสภาพอากาศ จะช่วยให้เราลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตและยังทำให้เรามีชีวิตที่สงบสุข

6. การพึ่งพาตนเองและการให้
การเกษียณแบบพอเพียงยังหมายถึงการพึ่งพาตนเองในหลาย ๆ ด้าน เช่น การซ่อมแซมสิ่งของในบ้านเอง แทนที่จะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เช่น การทำงานอาสาสมัครหรือช่วยเหลือชุมชนในกิจกรรมต่าง ๆ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนจะช่วยให้เราได้รับความสุขจากการได้ทำสิ่งดี ๆ และยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม

7. คิดบวกและอยู่กับปัจจุบัน
การเกษียณแบบพอเพียงไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตด้วยเงินหรือทรัพย์สินที่มี แต่เป็นการใช้ชีวิตด้วยการมองโลกในแง่ดี และอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต การคิดบวกจะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสและวิธีการใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ

สรุป
การเกษียณแบบพอเพียงเป็นการใช้ชีวิตในวัยเกษียณที่เน้นความสมดุล ความพอเพียง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ การดูแลสุขภาพ และการใช้ชีวิตในแบบเรียบง่ายแต่มีความสุขจะช่วยให้เรามีชีวิตที่มีคุณค่าและไม่ต้องพึ่งพาทรัพย์สินมากเกินไป ในที่สุด การเกษียณแบบพอเพียงทำให้เราสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและสงบเสงี่ยมได้อย่างยั่งยืน

รับเงิน 100,000 บาทจากประกัน 48 โรคร้ายยากมาก...จริงหรอ

ก่อนทุกท่านจะอ่าน อยากให้ทราบว่าผู้เขียนไม่ได้มีอาชีพขายประกัน แค่เป็นผู้ที่มีความคิดจะเกษียณสบาย มาตั้งแต่วัยรุ่น และพอทำได้แล้วจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์


เริ่มมาจากต้นปี 2567 นี้ (ราวเดือนมีนาคม) ผู้เขียนมีอาการแน่นที่หน้าอก หายใจหอบ จะเป็นลม เวลายกของหนัก หรือเดินขึ้นสะพานลอย หลังจากวินิจฉัยแล้ว คุณหมอวินิจฉัยว่าผู้เขียนมีสภาวะหัวใจขาดเลือด อันเนื่องมาจากเส้นเลือดตีบ


วันที่เข้าพบแพทย์ (รพ. ย่านบางแค) คุณหมอจะให้แอดมิททันที แต่ผู้เขียนปฏิเสธและขอเข้าแอดมิทในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากมีงานด่วนติดพลัน คุณหมอจึงให้ทานยาสลายลิ่มเลือด ยาลดไขมันในเส้นเลือด และ ฯลฯ ภายในตอนนั้น


เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นแล้ว เช่น สายชาร์จ โทรศัพท์มือถือแล้วผู้เขียนจึงเดินทางไปที่รพ. คุณหมอก็จับให้เข้าห้อง CCU และก็ติดเครื่องวัดคลื่นหัวใจ ติดเครื่องวัดความดัน ระโยงระยาง และฉีดยาสลายลิ่มเลือดทันที


ช่วงสายของวันเดียวกัน คุณหมอแจ้งว่า วันรุ่งขึ้นจะทำการฉีดสี และทำบอลลูน (หากจำเป็น) ผู้เขียนมีความกังวลมาก เพราะมีคนรู้จักเคยเสียชีวิตหลังจากการฉีดสี (แม้ว่าในทางการแพทย์แล้วจะไม่อันตราย หากคนไข้ไม่แพ้อาหารทะเล) จึงทำการปรึกษากับคนในครอบครัว และสรุปว่าจะให้แพทย์ทำการรักษาแบบ Non-Intrusive (ไม่บุกรุก ไม่ฉีดสี ไม่สวนสาย) กล่าวคือ ทานยา และดูแลรักษาสุขภาพอย่างดี


หลังจากอธิบายให้ทางคุณหมอที่ดูแลเคสเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว คุณหมอยอมให้กลับบ้านได้ แต่ต้องให้ตรวจติดตามตามนัด โดยหลังจากเห็นบิลเรียกเก็บเงินแล้ว ผู้เขียนไม่ตกใจมากเพราะมีประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายคิดเป็นเงินแล้ว 50,000 กว่าบาท แต่เนื่องจากประกันดังกล่าว ผู้เขียนจึงเสียแค่เวลาในการรอทางรพ. ตรวจเช็คสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล ตรงนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก ที่มีประกันสุขภาพ รวมถึงได้เงินพิเศษจากการประกัน 48 โรคร้าย จึงมีแนวคิดอยากจะแบ่งปันเรื่องราวเพื่อเป็นวิทยาทาน


เริ่มประกัน 48 โรคร้าย

ผู้เขียนทำประกันชีวิต และมีสัญญาเพิ่มเติมคือ ประกันสุขภาพ, ประกัน 48 โรคร้าย, และประกันอุบัติเหตุกับบริษัทประกันกรุงเก่าตั้งแต่เพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ คำนวณแล้วตกปีละหมื่นกว่าบาท โดยเป็นประกันชีวิต 6,000 กว่าบาท


ประกันดังกล่าวมีวิธีการจ่ายแบ่งเป็น 3 ระดับตามระดับความหนักเบาของอาการ โดยกระบวนการตั้งแต่ตอนที่ผมติดต่อบริษัทประกันจนได้รับเช็คคิดแล้วเป็นเวลา 80 วัน เรียงลำดับตามไทม์ไลน์ดังนี้

  • ราวเดือนสิงหาคม เริ่มส่งอีเมลล์หาเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ประกันหลังจากแพทย์วินิจฉัยว่ามีสภาวะหัวใจขาดเลือดตอนเดือนมีนาคมปีเดียวกัน พร้อมแนบหลักฐานพื้นฐานเช่น ผล Echo, ECG, ผลเลือด, และ ฯลฯ
  • ภายใน 1 วันให้หลังเจ้าหน้าที่ก็ตอบอีเมลล์กลับพร้อมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
  • ถัดมาอีก 1 อาทิตย์เจ้าหน้าที่ก็มีเอกสารให้กรอกเช่น เอกสารเคลม รวมถึงเอกสารให้แพทย์กรอก พร้อมให้ส่งเอกสารทั้งหมดกลับทาง EMS (ในส่วนของบริษัทประกันใช้เวลาทั้งหมดช่วงนี้ประมาณ 1 อาทิตย์)
  • สลับมาทางด้านรพ. เนื่องจากต้องให้แพทย์ช่วยกรอกเอกสารจึงใช้เวลาอีกเกือบ 1 เดือน เพราะรอผู้เขียนว่าง และรอแพทย์กรอกเอกสาร (ตรงนี้ทางรพ. มีเก็บค่าบริการในการให้คุณหมอกรอก 500 บาท) โดยผู้เขียนต้องชำระเอง (ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 40 วัน)
  • ราวปลายเดือนกันยายน ผู้เขียนได้ทำการส่ง EMS ให้บริษัทประกันและได้รับเช็คเคลมเต็มจำนวนวงเงินตามวงเงินที่ทำประกันภายในไม่เกิน 2 อาทิตย์จากวันที่บริษัทประกันได้รับเอกสาร


ข้อสังเกตุ

ในอนาคตบริษัทฯ ประกันควรจะขอเอกสารโดยตรงกับทางรพ. โดยทางผู้ทำประกันควรจะแจ้งบริษัทฯ ผ่านจดหมายเคลม และอาจจะอนุญาตให้บริษัทประกันมีสิทธิ์ในการสอบถามอาการของผู้ช่วย ที่สำคัญผู้เคลมไม่ควรต้องเสียเงินเพิ่มเติมจากค่าบริการแพทย์ในการกรอกเอกสารใด ๆ


หลังจากได้รับเช็คเงินเคลมแล้ว ทางบริษัทประกันทำการแจ้งว่ากรมธรรม์ในส่วนของ 48 โรคร้ายถูกยกเลิกทันที ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ควรจะยกเว้นเฉพาะโรคที่ผู้เคลมประกันเป็นเท่านั้น

สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม มาตรา 33 vs มาตรา 39 “ ประกันสังคม” ในประเทศไทยมีระบบที่แบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยหลัก ๆ จะมี “มาตรา 33” และ “มา...

น่าสนใจ